หน่วยที่ 4 จิตวิทยาการเรียนการสอน
จิตวิทยาการเรียนการสอน
จิตวิทยาการเรียนรู้
การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญและจำเป็นในการดำรงชีวิต
สิ่งมีชีวิตไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดจนตาย
สำหรับมนุษย์การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่น ๆ ดังพระราชนิพนธ์บทความของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา
ฯ ที่ว่า สิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ ก็เพราะว่า คนย่อมมีปัญญา
ที่จะนึกคิดและปฏิบัติสิ่งดีมีประโยชน์และถูกต้องได้ .
การเรียนรู้ช่วยให้มนุษย์รู้จักวิธีดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสภาพการต่างๆ
ได้
ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์จะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จและความพึงพอใจในชีวิตของมนุษย์ด้วย
ความหมายของการเรียนรู้ การเรียนรู้ (Learning) ตามความหมายทางจิตวิทยา
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงที่ไม่จัดว่าเกิดจากการเรียนรู้ ได้แก่
ฤติกรรมที่เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว
และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เนื่องมาจากวุฒิภาวะ
จิตวิทยา ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Psychology มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ
คือ Phyche แปลว่า วิญญาณ กับ Logos แปลว่า การศึกษา ตามรูปศัพท์ จิตวิทยาจึงแปลว่า
วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณ แต่ในปัจจุบันี้ จิตวิทยาได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป
ความหมายของจิตวิทยาได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย นั่นคือ
จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษากี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์
ประสบการณ์ทางตรง
คือ ประสบการณ์ที่บุคคลได้พบหรือสัมผัสด้วย
ในการมีประสบการณ์ตรงบางอย่างอาจทำให้บุคคลมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
แต่ไม่ถือว่าเป็นการเรียนรู้ ได้แก่
๑ .
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากฤทธิ์ยา หรือสิ่งเสพติดบางอย่าง
๒ . พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากความเจ็บป่วยทางกายหรือทางใจ
๓ .
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย
๔ . พฤติกรรมที่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนต่างๆ
ประสบการณ์ทางอ้อม
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
พฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของนักการศึกษาซึ่งกำหนดโดย บลูม และคณะ ( Bloom
and Others ) มุ่งพัฒนาผู้เรียนใน ๓ ด้าน ดังนี้
๑ . ด้านพุทธิพิสัย (
Cognitive
Domain )
๒ . ด้านเจตพิสัย ( Affective
Domain )
๓ . ด้านทักษะพิสัย (
Psychomotor
Domain )
องค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้
ดอลลาร์ด และมิลเลอร์
( Dallard
and Miller ) เสนอว่าการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ คือ
๑ . แรงขับ ( Drive
)
๒ . สิ่งเร้า ( Stimulus
)
๓ . การตอบสนอง ( Response
)
๔ . การเสริมแรง ( Reinforcement
ธรรมชาติของการเรียนรู้
การเรียนรู้มีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
๑ .
การเรียนรู้เป็นกระบวนการ
การเกิดการเรียนรู้ของบุคคลจะมีกระบวนการของการเรียนรู้จากการไม่รู้ไปสู่การเรียนรู้
๕ ขั้นตอน คือ
๑ . ๑ มีสิ่งเร้ามากระตุ้นบุคคล
๑ . ๒
บุคคลสัมผัสสิ่งเร้าด้วยประสาททั้ง ๕
๑ . ๓
บุคคลแปลความหมายหรือรับรู้สิ่งเร้า
๑ . ๔
บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้าตามที่รับรู้
๑ . ๕
บุคคลประเมินผลที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
๒ .
การเรียนรู้ไม่ใช่วุฒิภาวะแต่การเรียนรู้อาศัยวุฒิภาวะ วุฒิภาวะ
๓ .
การเรียนรู้เกิดได้ง่าย ถ้าสิ่งที่เรียนเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน
๔ .
การเรียนรู้แตกต่างกันตามตัวบุคคลและวิธีการในการเรียน
การถ่ายโยงการเรียนรู้
การถ่ายโยงการเรียนรู้เกิดขึ้นได้
๒ ลักษณะ คือ การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก ( Positive Transfer ) และการถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ ( Negative Transfer )
การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก
( Positive
Transfer ) คือ
การถ่ายโยงการเรียนรู้ชนิดที่ผลของการเรียนรู้งานหนึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อีกงานหนึ่งได้เร็วขึ้น
ง่ายขึ้น หรือดีขึ้น
การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ
( Negative
Transfer ) คือการถ่ายโยงการเรียนรู้ชนิดที่ผลการเรียนรู้งานหนึ่งไปขัดขวางทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อีกงานหนึ่งได้ช้าลง
หรือยากขึ้นและไม่ได้ดีเท่าที่ควร
การนำความรู้ไปใช้
๑ . ก่อนที่จะให้ผู้เรียนเกิดความรู้ใหม่
ต้องแน่ใจว่า ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับความรู้ใหม่มาแล้ว ๒ .
พยายามสอนหรือบอกให้ผู้เรียนเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของการเรียนที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง
๓ .
ไม่ลงโทษผู้ที่เรียนเร็วหรือช้ากว่าคนอื่นๆ
และไม่มุ่งหวังว่าผู้เรียนทุกคนจะต้องเกิดการเรียนรู้ที่เท่ากันในเวลาเท่ากัน
๔ . ถ้าสอนบทเรียนที่คล้ายกัน
ต้องแน่ใจว่าผู้เรียนเข้าใจบทเรียนแรกได้ดีแล้วจึงจะสอนบทเรียนต่อไป
๕ .
พยายามชี้แนะให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของบทเรียนที่มีความสัมพันธ์กัน
ลักษณะสำคัญ
ที่แสดงให้เห็นว่ามีการเรียนรู้เกิดขึ้น จะต้องประกอบด้วยปัจจัย ๓ ประการ คือ
๑ . มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างคงทน
ถาวร
๒ .
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นจะต้องเป็นผลมาจากประสบการณ์ หรือการฝึก การปฏิบัติซ้ำๆ
เท่านั้น
๓ . การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังกล่าวจะมีการเพิ่มพูนในด้านความรู้
ความเข้าใจ ความรู้สึกและความสามารถทางทักษะทั้งปริมาณและคุณภาพ
ทฤษฎีการเรียนรู้ ( Theory
of Learning ) แบ่งออกได้ ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ
๑ . ทฤษฎีกลุ่มสัมพันธ์ต่อเนื่อง ( Associative
Theories)
๒ . ทฤษฎีกลุ่มความรู้ความเข้าใจ ( Cognitive
Theories )
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มสัมพันธ์ต่อเนื่อง
ทฤษฎีนี้เห็นว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า ( Stimulus
) และการตอบสนอง ( Response ) ปัจจุบันเรียกนักทฤษฎีกลุ่มนี้
พฤติกรรมนิยม ( Behaviorism ) ซึ่งเน้นเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมที่มองเห็น และสังเกตได้มากกว่ากระบวนการคิด และปฏิกิริยาภายในของผู้เรียน
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มนี้แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ ดังนี้
๑ .
ทฤษฎีการวางเงื่อนไข ( Conditioning Theories )
๑ . ๑
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค ( Classical Conditioning
Theories )
๑ . ๒
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ ( Operant Conditioning Theory
)
๒ .
ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง ( Connectionism Theories )
๒ . ๑
ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง ( Connectionism Theory )
๒ . ๒
ทฤษฎีสัมพันธ์ต่อเนื่อง ( S-R Contiguity Theory )
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
อธิบายถึงการเรียนรู้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าตามธรรมชาติ
และสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขกับการ ตอบสนอง
พฤติกรรมหรือการตอบสนองที่เกี่ยวข้องมักจะเป็นพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริยาสะท้อน ( Reflex
) หรือ พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องอารมณ์ ความรู้สึก
บุคคลสำคัญของทฤษฎีนี้ ได้แก่ Pavlov, Watson, Wolpe etc.
การนำหลักการมาประยุกต์ใช้ในการสอน
๑ .
ครูสามารถนำหลักการเรียนรู้ของทฤษฎีนี้มาทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกถึงอารมณ์
ความรู้สึกทั้งด้านดีและไม่ดี รวมทั้งเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น วิชาที่เรียน
กิจกรรม หรือครูผู้สอน
เพราะเขาอาจได้รับการวางเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก็เป็นได้
๒ .
ครูควรใช้หลักการเรียนรู้จากทฤษฎีปลูกฝังความรู้สึกและเจตคติที่ดีต่อเนื้อหาวิชา
กิจกรรมนักเรียน ครูผู้สอนและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดในตัวผู้เรียน
๓ .
ครูสามารถป้องกันความรู้สึกล้มเหลว ผิดหวัง
และวิตกกังวลของผู้เรียนได้โดยการส่งเสริมให้กำลังใจในการเรียนและการทำกิจกรรม
ไม่คาดหวังผลเลิศจากผู้เรียน
และหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์หรือลงโทษผู้เรียนอย่างรุนแรงจนเกิดการวางเงื่อนไขขึ้น
กรณีที่ผู้เรียนเกิดความเครียด และวิตกกังวลมาก
ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ผ่อนคลายความรู้สึกได้บ้างตามขอบเขตที่เหมาะสม
ทฤษฎีการวางเขื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์
( Skinner's Operant Conditioning Theory )
B.F. Skinner (1904 - 1990) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน
ได้ทำการทดลองด้านจิตวิทยาการศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์การเรียนรู้ที่มีการตอบสนองแบบแสดงการกระทำ
( Operant Behavior ) สกินเนอร์ได้แบ่ง
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตไว้ ๒ แบบ คือ
๑ . Respondent
Behavior พฤติกรรมหรือการตอบสนองที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
หรือเป็นปฏิกิริยาสะท้อน ( Reflex ) ซึ่งสิ่งมีชีวิตไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
เช่น การกระพริบตา น้ำลายไหล หรือการเกิดอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
๒ . Operant
Behavior พฤติกรรมที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเป็นผู้กำหนด
หรือเลือกที่จะแสดงออกมา ส่วนใหญ่จะเป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกในชีวิตประจำวัน
เช่น กิน นอน พูด เดิน ทำงาน ขับรถ ฯลฯ .
ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์
( Thorndike's
Connectionism Theory ) Edward L. Thorndike (1874 - 1949) นักจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกัน
ผู้ได้ชื่อว่าเป็น บิดาแห่งจิตวิทยาการศึกษา เขาเชื่อว่า
คนเราจะเลือกทำในสิ่งก่อให้เกิดความพึงพอใจและจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ไม่พึงพอใจ
จากการทดลองกับแมวเขาสรุปหลักการเรียนรู้ได้ว่า
เมื่อเผชิญกับปัญหาสิ่งมีชีวิตจะเกิดการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก ( Trial
and Error ) นอกจากนี้เขายังให้ความสำคัญกับการเสริมแรงว่าเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
๑ . กฎแห่งผล ( Law
of Effect ) มีใจความสำคัญคือ
ผลแห่งปฏิกิริยาตอบสนองใดที่เป็นที่น่าพอใจ
อินทรีย์ย่อมกระทำปฏิกิริยานั้นซ้ำอีกและผลของปฏิกิริยาใดไม่เป็นที่พอใจบุคคลจะหลีกเลี่ยงไม่ทำปฏิกิริยานั้นซ้ำอีก
๒ . กฎแห่งความพร้อม
( Law
of Readiness ) มีใจความสำคัญ ๓ ประเด็น คือ
๒ . ๑
ถ้าอินทรีย์พร้อมที่จะเรียนรู้แล้วได้เรียน อินทรีย์จะเกิดความพอใจ
๒ . ๒
ถ้าอินทรีย์พร้อมที่จะเรียนรู้แล้วไม่ได้เรียน จะเกิดความรำคาญใจ
๒ . ๓
ถ้าอินทรีย์ไม่พร้อมที่จะเรียนรู้แล้วถูกบังคับให้เรียน จะเกิดความรำคาญใจ
๓ . กฎแห่งการฝึกหัด
( Law
of Exercise ) มีใจความสำคัญคือ
พฤติกรรมใดที่ได้มีโอกาสกระทำซ้ำบ่อยๆ และมีการปรับปรุงอยู่เสมอ
ย่อมก่อให้เกิดความคล่องแคล่วชำนิชำนาญ
สิ่งใดที่ทอดทิ้งไปนานย่อมกระทำได้ไม่ดีเหมือนเดิมหรืออาจทำให้ลืมได้
การนำหลักการมาประยุกต์ใช้
๑ .
การสอนในชั้นเรียนครูควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
จัดแบ่งเนื้อหาเป็นลำดับเรียงจากง่ายไปยาก
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจติดตามบทเรียนอย่างต่อเนื่อง
เนื้อหาที่เรียนควรมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของผู้เรียน
๒ .
ก่อนเริ่มสอนผู้เรียนควรมีความพร้อมที่จะเรียน
ผู้เรียนต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอและไม่ตกอยู่ในสภาวะบางอย่าง เช่น ป่วย เหนื่อย ง่วง
หรือ หิว จะทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพ
๓ .
ครูควรจัดให้ผู้เรียนมีโอกาสฝึกฝนและทบทวนสิ่งที่เรียนไปแล้ว
แต่ไม่ควรให้ทำซ้ำซากจนเกิดความเมื่อยล้าและเบื่อหน่าย
๔ .
ครูควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสพึงพอใจและรู้สึกประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรม
โดยครูต้องแจ้งผลการทำกิจกรรมให้ทราบ หากผู้เรียนทำได้ดีควรชมเชยหรือให้รางวัล
หากมีข้อบกพร่องต้องชี้แจงเพื่อการปรับปรุงแก้ไข
ทฤษฎีสัมพันธ์ต่อเนื่องของกัทรี
( Guthrie's
Contiguity Theory ) Edwin R. Guthrie นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน
เป็นผู้กล่าวย้ำถึงความสำคัญของความใกล้ชิดต่อเนื่องระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
ถ้ามีการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดและแนบแน่นเพียงครั้งเดียวก็สามารถเกิดการเรียนรู้ได้
( One Trial Learning ) เช่น
ประสบการณ์ชีวิตที่วิกฤตหรือรุนแรงบางอย่าง ได้แก่ การประสบอุบัติเหตุที่รุนแรง
การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ฯลฯ
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มนี้ยังแบ่งย่อยได้อีกดังนี้
๑ .
ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์ ( Gestalt's Theory )
๒ .
ทฤษฎีสนามของเลวิน ( Lewin's Field Theory )
ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์
( Gestalt's Theory ) นักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์
( Gestalt Psychology ) ชาวเยอรมัน ประกอบด้วย Max
Wertheimer, Wolfgang Kohler และ Kurt Koftka ซึ่งมีความสนใจเกี่ยวกับการรับรู้
( Perception ) การเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เก่าและใหม่
นำไปสู่กระบวนการคิดเพื่อการแก้ปัญหา ( Insight ) องค์ประกอบของการเรียนรู้
มี ๒ ส่วน คือ
๑ . การรับรู้ ( Perception
)
๒ . การหยั่งเห็น ( Insight
)
ทฤษฎีสนามของเลวิน
( Lewin's Field Theory ) Kurt Lewin นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน (1890 - 1947) มีแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้เช่นเดียวกับกลุ่มเกสตัลท์
ที่ว่าการเรียนรู้ เกิดขึ้นจากการจัดกระบวนการรับรู้
และกระบวนการคิดเพื่อการแก้ไขปัญหาแต่เขาได้นำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาร่วมอธิบายพฤติกรรมมนุษย์
เขาเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์แสดงออกมาอย่างมีพลังและทิศทาง ( Field of Force
) สิ่งที่อยู่ในความสนใจและต้องการจะมีพลังเป็นบวก ซึ่งเขาเรียกว่า Life
space สิ่งใดที่อยู่นอกเหนือความสนใจจะมีพลังเป็นลบ
Lewin กำหนดว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์
จะมี ๒ ชนิด คือ
๑ .
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ( Physical environment )
๒ .
สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา ( Psychological environment )
การนำหลักการทฤษฎีกลุ่มความรู้
ความเข้าใจ ไปประยุกต์ใช้
๑ .
ครูควรสร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง
และมีอิสระที่จะให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ทั้งที่ถูกและผิด
เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล และเกิดการหยั่งเห็น
๒ .
เปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในชั้นเรียน โดยใช้แนวทางต่อไปนี้
๒ . ๑
เน้นความแตกต่าง
๒ . ๒
กระตุ้นให้มีการเดาและหาเหตุผล
๒ . ๓
กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม ๒ . ๔ กระตุ้นให้ใช้ความคิดอย่างรอบคอบ
๒ . ๕
กำหนดขอบเขตไม่ให้อภิปรายออกนอกประเด็น
๓ . การกำหนดบทเรียนควรมีโครงสร้างที่มีระบบเป็นขั้นตอน
เนื้อหามีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน ๔
. คำนึงถึงเจตคติและความรู้สึกของผู้เรียน
พยายามจัดกิจกรรมที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์
ผู้เรียนนำไปใช้ประโยชน์ได้ และควรจัดโอกาสให้ผู้เรียนรู้สึกประสบความสำเร็จด้วย
๕ .
บุคลิกภาพของครูและความสามารถในการถ่ายทอด
จะเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้เรียนมีความศรัทธาและครูจะสามารถเข้าไปอยู่ใน Life
space ของผู้เรียนได้
ทฤษฎีปัญญาสังคม
( Social Learning Theory ) Albert Bandura
(1962 - 1986) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าของตนเอง
เดิมใช้ชื่อว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม " ( Social Learning
Theory ) ต่อมาเขาได้เปลี่ยนชื่อทฤษฎีเพื่อความเหมาะสมเป็น
ทฤษฎีปัญญาสังคม ทฤษฎีปัญญาสังคมเน้นหลักการเรียนรู้โดยการสังเกต ( Observational
Learning ) เกิดจากการที่บุคคลสังเกตการกระทำของผู้อื่นแล้วพยายามเลียนแบบพฤติกรรมนั้น
ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมทางสังคมเราสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน
เช่น การออกเสียง การขับรถยนต์ การเล่นกีฬาประเภทต่างๆ เป็นต้น
ขั้นตอนของการเรียนรู้โดยการสังเกต
๑ . ขั้นให้ความสนใจ
( Attention
Phase )
๒ . ขั้นจำ ( Retention
Phase )
๓ . ขั้นปฏิบัติ ( Reproduction
Phase )
๔ . ขั้นจูงใจ ( Motivation
Phase )
หลักพื้นฐานของทฤษฎีปัญญาสังคม
มี ๓ ประการ คือ
๑ .
กระบวนการเรียนรู้ต้องอาศัยทั้งกระบวนการทางปัญญา และทักษะการตัดสินใจของผู้เรียน
๒ .
การเรียนรู้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ ๓
๓ .
ผลของการเรียนรู้กับการแสดงออกอาจจะแตกต่างกัน
การนำหลักการมาประยุกต์ใช้
๑ .
ในห้องเรียนครูจะเป็นตัวแบบที่มีอิทธิพลมากที่สุด ครูควรคำนึงอยู่เสมอว่า
การเรียนรู้โดยการสังเกตและเลียนแบบจะเกิดขึ้นได้เสมอ
แม้ว่าครูจะไม่ได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ก็ตาม
๒ .
การสอนแบบสาธิตปฏิบัติเป็นการสอนโดยใช้หลักการและขั้นตอนของทฤษฎีปัญญาสังคมทั้งสิ้น
ครูต้องแสดงตัวอย่างพฤติกรรมที่ถูกต้องที่สุดเท่านั้น
จึงจะมีประสิทธิภาพในการแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ ความผิดพลาดของครูแม้ไม่ตั้งใจ
ไม่ว่าครูจะพร่ำบอกผู้เรียนว่าไม่ต้องสนใจจดจำ
แต่ก็ผ่านการสังเกตและการรับรู้ของผู้เรียนไปแล้ว
๓ .
ตัวแบบในชั้นเรียนไม่ควรจำกัดไว้ที่ครูเท่านั้น
ควรใช้ผู้เรียนด้วยกันเป็นตัวแบบได้ในบางกรณี
โดยธรรมชาติเพื่อนในชั้นเรียนย่อมมีอิทธิพลต่อการเลียนแบบสูงอยู่แล้ว
ครูควรพยายามใช้ทักษะจูงใจให้ผู้เรียนสนใจและเลียนแบบเพื่อนที่มีพฤติกรรมที่ดี
มากกว่าผู้ที่มีพฤติกรรมไม่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น